13 เคล็ดลับ ปรับเว็บไซต์อย่างไรให้ยอดขายปัง!
แน่นอนว่าการตลาดในยุคนี้มีหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางบนโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย เป็นที่นิยม มีการบอกต่อ รีวิวต่างๆ นาๆ แต่หารู้ไม่ว่าความจริงแล้ว การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียนั้นก็ไม่ได้ผลดีที่สุดเสมอไป เมื่อลองนำมาเปรียบเทียบในระยะยาวแล้ว ต้องบอกเลยว่าการทำการตลาดบนเว็บไซต์มีข้อได้เปรียบอยู่มาก แต่เราจะทำอย่างไร เมื่อในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับเว็บไซต์น้อยลง วันนี้ atimeNews มี 13 เคล็ดลับ ปรับเว็บไซต์อย่างไรให้ยอดขายปัง! มาบอกกัน โดยจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
โดยก่อนที่เราจะเริ่มปรับปรุงเว็บไซต์นั้น เราต้องมาดูข้อมูล analytics ที่เคลื่อนไหวภายในเว็บไซต์ของเราเป็นอย่างไรบ้างเสียก่อน โดยหลักๆ ควรจะดู 3 อย่าง นั่นก็คือ Average Conversion Rate (อัตราการแปลงโดยเฉลี่ย) ดูยอดจำนวน traffic ที่เข้ามาในเว็บไซต์ทั้งหมด มีคนซื้อของจากเราร้อยละเท่าไหร่, Average Order Value (มูลค่าการสั่งซื้อโดยเฉลี่ย) ดูยอดจำนวนเงินที่ลูกค้าคนหนึ่งซื้อของจากเรา โดยเฉลี่ยตกอยู่ที่เท่าไหร่ และ Revenue per Visitor (รายได้ต่อผู้เข้าชม) ดูยอดรายได้ที่เราทำได้ต่อหัวคนที่เข้ามาในเว็บตกอยู่ที่เท่าไหร่
ซึ่ง 3 อย่างนี้จะช่วยบอกว่าเราควรจะปรับทิศทางการตลาดของเราไปในทางใด ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ผู้บริโภค และติดตามทุกการกระทำของผู้บริโภคได้ เราก็สามารถรู้ได้ด้วยว่าคนๆ นั้นดูเว็บของเราไปกี่เพจ แต่ละเพจดูนานเท่าไหร่ คนที่ดูแล้วออกไปมีมากหรือน้อย ซึ่งในปัจจุบันก็มีเครื่องมอหลายตัวที่สามารถดู ข้อมูล analytics พวกนี้ได้ เช่น Optimizely, Google Analytics, Magento และ CrazyEgg และเมื่อวิเคราห์ข้อมูลแล้วเราก็นำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาเว็บไซต์ต่อ โดยหลักๆ เรามี 13 เคล็ดลับที่ควรนำไปปรับเว็บไซต์เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้ปังๆ ได้แก่
1. แบนเนอร์สินค้าไม่จำเป็นเสมอไป
โดยปกติของเว็บไซต์มักจะมีแบนเนอร์สินค้าอยู่เสมอ แต่จริงๆ แล้วการเอาแบนเนอร์สินค้าออกไปจะช่วยทำให้ข้อมูลของสินค้าที่สำคัญเด่นกว่าแบนเนอร์ได้ ข้อมูลจะถูกเลื่อนขึ้นมาบนเว็บไซต์ให้คนได้เห็นก่อน ไม่ต้องสร้าง awareness ให้เสียเวลา บอกไปเลยว่าขายอะไร ราคาเท่าไหร่
2. ใช้ปุ่ม Buy Now ได้ผลดีกว่า Shop Now
จากสถิติอการใช้ปุ่ม Buy Now นั้นจะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่าย มากกว่าการใช้ปุ่ม Shop Now ถึง 17% ฉะนั้นการใช้คำแค่ต่างกันนิดเดียว ก็ส่งผลถึงการทำให้คนคลิกมากหรือคลิกน้อยได้
3. ไม่ผลักดันสินค้าให้ดูเด่นกว่ากัน
โดยปกติในเว็บขายของ มักจะมีสินค้าบางตัวที่ผู้ประกอบการต้องการจะให้เด่นกว่าตัวอื่นๆ แต่การขยายรูปสินค้าแค่บางตัวที่เราอยากขายนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี จริงอยู่ว่ามันทำให้สินค้าตัวนั้นดูโดนเด่นมีคนคลิกเข้าไปดูมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะขายได้ดีกว่าสินค้าตัวอื่น ทางที่ดีควรโชว์รูปสินค้าให้เท่าๆ กัน
4. กระตุ้นผู้บริโภคด้วย Call to Action
Call-to-Action ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำ Marketing ว่าด้วยการส่งสารให้คนตอบสนองต่อข้อเสนอของเรา เราก็ควรบอกให้ผู้บริโภครู้ไปเลยว่า ต้องทำอะไรต่อไป เช่น ให้สมัครสมาชิก, ให้ซื้อของ, ให้แชร์ต่อบอกต่อ เป็นต้น
5. Navigation Bar ทำให้สับสน
การมี Navigation Bar ก็มีข้อดี ที่ทำให้ผู้บริโภครู้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน แต่ข้อเสียของมันก็คือ มันกลับเป็นที่ๆ บอกทางเลือกเยอะแยะให้ผู้บริโภคกดเข้าไปดูจนไม่รู้ว่าจะกดตรงไหนก่อนดี ฉะนั้นดีที่สุดเอาออกไปเลย โดยเฉพาะช่วงที่คนกำลังเลือกซื้อของและกำลังจะกดจ่ายเงิน
6. แสดงหมวดหมู่ย่อยของสินค้าให้น้อยลง
ข้อนี้ก็คล้ายกับข้อที่แล้วเลย คือเราต้องการให้ลูกค้าได้เห็นตัวเลือกสินค้าที่น้อยลง เพื่อสร้างความรู้สึก Scarcity กระตุ้นให้เกิดการสร้าง conversion และยอดขายที่เพิ่มขึ้น
7. ใช้ FAQ ช่วยเพิ่ม Conversion
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า FAQ หรือคำถามที่มักถูกถามบ่อยคืออะไร เราจึงมักเห็นว่า FAQ มักจะเป็นข้อมูลที่ผู้ขายเตรียมไว้สำหรับสิ่งที่ลูกค้ามักจะเกิดข้อสงสัยในการซื้อสินค้า หรือการใช้บริการต่างๆ ซึ่งถ้าจะมองแล้ว ก็สามารถเป็นประโยชน์ได้หลายอย่าง รวมถึงจะช่วยทำให้มีคนซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนมีข้อมูลเพิ่มขึ้นในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง
8. ลอง Random การจัดเรียงสินค้าดูบ้าง
เพื่อนำไปวิเคราะห์ว่า การจัดเรียงลำดับสินค้าแบบไหนทำ Conversion Rate, AOV และ RPV ได้มากกว่ากัน
9. Responsive website รองรับทุกอุปกรณ์
การทำเว็บไซต์ที่รองรับทุกอุปกรณ์นั้น เป็นรูปแบบการเขียนเพื่อการแสดงผลให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพาต่างๆ คือจะมีการปรับเปลี่ยนขนาดของ Font หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดวางให้เหมาะกับการแสดงผลในแนวตั้ง หรือแนวนอน และการสัมผัสบนหน้าจอจะดีกว่า ข้อดีของมันคือ แสดงผลได้หมดในทุกๆ หน้าจอ ในขณะที่เป็นเว็บตัวเดียวกัน
เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภททุกช่องทาง และยิ่งการมีแบนเนอร์สำหรับมือถือก็ทำให้มีคนคลิกเพิ่มอีก 20%
10. ใช้ปุ่ม Review Order แทนปุ่ม Continue ในหน้า Checkout
โดยปกติในหน้า Checkout ของเว็บขายของส่วนใหญ่จะใช้คำว่า Continue กัน ซึ่งผู้บริโภคจะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องกดสั่งซื้อของอีกกี่ขั้นตอนถึงจะจบ ฉะนั้นในเพจที่ลูกค้ากดเลือกของเสร็จ ควรเขียนคำว่า Review Order จะดีที่สุด เพื่อที่ลูกค้าจะได้รู้ว่าได้เวลาจ่ายเงินแล้วนะ ซึ่งปุ่ม Review Order ช่วยเพิ่ม Click Rate มากกว่าปุ่ม Continue ถึง 4%
11. ทดสอบประสบการณ์ของผู้บริโภค
ลองทำการทดสอบประสบการณ์ของผู้บริโภคในคอนเทนต์เดียวกัน เพื่อหาความแตกต่างที่จะนำไปปรับปรุงในเว็บไซต์ อย่างเช่น ทดสอบทำปุ่มซื้อสินค้าหลายๆ รูปแบบ เราก็จะรู้ว่ารูปแบบที่คนกดง่ายที่สุดคือแบบไหน และจะช่วยให้เว็บได้ CTR เพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง
12.Market Research ดักใจผู้บริโภค
การทำ Market Research จะช่วยให้ผู้ประกอบการรู้ความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วผู้บริโภคต้องการอะไร จาก Keyword ที่พิมพ์ผิด
13. ให้ความสำคัญเรื่องรูป
การทำเว็บไซต์สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือรูปสวยๆ และสิ่งที่ตามมาก็คือขนาดของไฟล์ Dimension ของรูป ทีจะเอามาใช้ในเว็บไซต์มีปัญหา รูปภาพควรมีขนาดที่เหมาะสมต่อเว็บไซต์ หากมีขนาดใหญ่เกินไป อาจทำให้เว็บไซต์โหลดนาน ผู้เข้าชมขี้เกียจรอและกดปิดหน้าเว็บไซต์นั้นไปก่อน รวมถึงต้องเลือกภาพที่มีความละเอียดเหมาะสมกับขนาดที่ใช้งานด้วย
Credit : optimizely
You may also like
ค้นหาข่าวสารที่คุณสนใจได้ที่นี่
เรื่องล่าสุด
- ระวัง! “Nudify” แอป AI ลบเสื้อผ้าได้ ใช้เปลื้องผ้าผู้คนจากภาพถ่าย!! 29 ธันวาคม, 2023
- หลังจาก YouTube แบน Ad Blocker หลายคน Uninstall แต่หลายคน Install เยอะขึ้น 21 พฤศจิกายน, 2023
- Apple กำลังพัฒนา Search Engine เป็นของตัวเอง จะสู้ Google ได้หรือไม่! 5 ตุลาคม, 2023
- Facebook เปิดตัวโลโก้ใหม่ เปลี่ยนจนที่ใครๆต้องร้องว้าว! 25 กันยายน, 2023
- YouTube บล็อคไม่ให้เล่นคลิปแล้ว หากใช้ Ad Blocker กีดกันโฆษณาบนเบราว์เซอร์ 18 กันยายน, 2023
Facebook Comments